วันหนึ่ง ณ สนาบินแห่งหนึ่งซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสาร บรรดาผู้โดยสารซึ่งจะเดินทางด้วยเครื่องบินพาณิชย์ลำหนึ่งได้พากันนั่งประจำที่เรียบร้อย ยังรอก็แต่นักบินซึ่งจะขึ้นเครื่องบินเป็นกลุ่มสุดท้าย และแล้วนักบินและนักบินผู้ช่วย ก็ขึ้นมาทางประตูด้านท้ายของเครื่องแล้วก็เดินผ่านช่องทางเดินตรงกลางขึ้นมา เพื่อจะไปยังห้องนักบิน ดูเหมือนว่านักบินทั้งคู่นั้นจะตาบอดนักบินที่หนึ่งนั้นใช้ไม้เท้าคลำทางสีขาว เขาเดินสะเปะสะปะ กระแทกผู้โดยสาร ซ้ายที ขวาที ส่วนนักบินผู้ช่วยนั้น มีสุนัขนำทางตัวหนึ่งทั้งคู่สวมแว่นตากันแดดสีดำ ในตอนแรก บรรดาผู้โดยสารก็ไม่รู้สึกอะไรพวกเขาคิดว่า มันน่าจะเป็นการล้อเล่นมากกว่าแล้วไม่นานเสียงเร่งเครื่องยนต์ก็เริ่มดังขึ้นและเครื่องบินก็เริ่มเคลื่อนตัวไปตามรันเวย์ เหล่าผู้โดยสาร เริ่มจะมองหน้กันหน้าตาตื่นด้วยความไม่สบายใจ บ้างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน และเหลียวมองเลิ่กลั่กไปที่พนักงานประจำเครื่องด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดี และแล้วเครื่องบินก็เริ่มเริ่งความเร็วขึ้นสูงสุด บรรดาผู้โดยสารก็เริ่มระส่ำระสายบ้างก็สวดมนต์ขอให้พระเจ้าคุ้มครองในขณะที่เครื่องบินพุ่งทะยานไปข้างหน้า ใกล้จะสุดทางวิ่ง มันใกล้เข้าไปๆ เสียงเซ็งแซ่ด้วยความตื่นกลัวก็เริ่มจะดังขึ้นๆ และในที่สุดเครื่องบินก็เหลือระยะทางวิ่งอีกไม่ถึง 20 ฟุต เสียงที่ตื่นตระหนกของเหล่าผุ้โดยสารก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมๆ กัน และในเสี้ยววินาทีสุดท้ายเครื่องบินก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในห้องนักบิน นักบินผู้ช่วยได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแล้วหันไปกล่าวกับนักบินที่หนึ่งว่า “คงมีสักวัน ที่ผู้โดยสารไม่แหกปากกรีดร้องออกมา และพวกเรา ก็คงจะต้องตายกันหมดแน่ๆ”
ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ